พุทธเทค

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทฤษฎีกำเนิดมนุษย์

ทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ภาคอัคคัญญสูตร

มีคำถามมากมายว่า มนุษย์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีวิวัฒนาการมาอย่างไร ความรู้สายวิทยาศาสตร์ ให้ภาพความเป็นมนุษย์ในฐานะสัตว์ชนิดหนึ่งที่มีวิวัฒนาการมาจากจุดเริ่มต้น เดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 4,600 ล้านปีที่ผ่านมา โลกกำเนิดขึ้น โดยไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ปรากฏอยู่จนกระทั่ง เมื่อ 3,500 ล้านปี จึงเกิดสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์เซลล์เดียวเกิดขึ้นในโลกเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลรวมทั้งมนุษย์ด้วย สิ่งมีชีวิตนั้นพัฒนาขึ้นตามลำดับ โดยเริ่มวิวัฒน์เป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นปลา เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เป็นสัตว์เลื้อยคลาน จนถึงเมื่อประมาณ 200 ล้านปีที่ผ่านมา จึงเกิดสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขึ้น และเมื่อประมาณ 65 ล้านปีมานี้ จึงได้เกิดสัตว์ลำดับไพรเมต (Primate) ขึ้นเป็นครั้งแรก ไพรเมตที่อยู่ในสายของมนุษย์ ได้แยกตัวจากเอปเมื่อราว 5 ล้านปีมาแล้ว ลักษณะรูปร่างของมนุษย์วิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงมาตลอด แบ่งออกได้เป็น 2 สกุล คือ สกุล ออสตราโลพิเธคคัส และ สกุลโฮโม มี 3 ชนิด คือ โฮโม แฮบิลิส โฮโม อีเรคตัส โฮโม เซเปียนส์ มนุษย์ปัจจุบันนี้ ถูกเรียกว่า โฮโม เซเปียนส์ มนุษย์สืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่เป็นสัตว์เซลเดียว มีการเปลี่ยนแปลงมาอย่างช้าๆ หรือที่เรียกว่า มีวิวัฒนาการมาตามลำดับจนมีลักษณะทางกายภาพเหมือนปัจจุบัน กระบวนการวิวัฒนาการที่ผ่านมาเป็นไปอย่างซับซ้อนและใช้เวลายาวนาน
แต่ทฤษฎีกำเนิดมนุษย์ภาคอัคคัญญสูตร กลับมีความเห็นที่สวนทางออกไปเกี่ยวกับการวิวัฒนาการของมนุษย์ โดยมีวิวัฒนาการร่วมกับวิวัฒนาการของโลกหรือเอกภพ ทฤษฎีนี้สนับสนุนความเชื่อที่ว่า มนุษย์พัฒนากลับรูปมาจากพรหมพวกหนึ่ง ดังนั้น มนุษย์จึงมาจากสัตว์ชั้นสูง ไม่ใช่สัตว์ชั้นต่ำ แต่เป็นการพัฒนากลับรูปถอยหลัง ไม่ใช่การพัฒนาไปสู่ความก้าวหน้าแบบความรู้สายวิทยาศาสตร์ โดยมีลำดับวิวัฒนาการดังนี้
1. อาภัสสรพรหม จุติลงมาเกิดในโลก หรือตามความเข้าใจก็คือเอกภพนี้ ในระยะแรกเริ่ม ที่ยังมีน้ำท่วมทั่วอวกาศ (เข้าใจว่าเอกภพคงเย็นตัวลง หลังการทำลายล้างของไฟบรรลัยกัลป์) สัตว์พวกนี้ได้กลับมาสู่เอกภพนี้อีกครั้ง ด้วยสภาพร่างกายที่ยังเป็นทิพย์ มีแสงสว่างในตัวเอง มีปีติเป็นอาหาร สัญจรไปมาอยู่ในอวกาศ เช่นเดียวกับสมัยที่อยู่ในชั้นอาภัสสรพรหม (เข้าใจว่า อยู่สุดขอบฟ้าของเอกภพ)
2. การเกิดง้วนดิน ง้วนดินมีลักษณะเหมือนนมสดที่เคี่ยวให้งวด มีกลิ่น รส สี คล้ายเนยใสมีรสเหมือนน้ำผึ้ง ลอยอยู่ในน้ำในอวกาศ สัตว์พวกนี้จึงลองชิมดูก็เกิดชอบใจ ชิมมากเข้า ก็เลยทำให้แสงสว่างในตัวหมดลง การเกิดขึ้นของง้วนดินน่าจะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับจุดกำเนิดและวิวัฒนาการของกาแล็กซี กาแล็กซี เป็นหนึ่งในความลึกลับของจักรวาลที่นักดาราศาสตร์พยายามไขความลึกลับนี้มานานหลายสิบปี เช่นเดียวกับ ความลึกลับของ สสารมืด (Dark Matter) สสารที่มองไม่เห็นและพลังงานมืด (Dark Energy) พลังงานลึกลับ ซึ่งต่อต้านแรงโน้มถ่วงและผลักจักรวาลให้ขยายตัวด้วยอัตราเร่ง ในทุกวันนี้ ในช่วงต้นของทศวรรษ ที่ 1980 นักจักรวาลวิทยาเริ่มนำเราใกล้ความลับนี้เมื่ออธิบายปรากฏการณ์ภายหลังมหาบรรลัยกัลป์ (big- bang) เมื่อ 13.7 พันล้านปีก่อนว่า เมื่อจักรวาลอยู่ในวัยทารกมันจะขยายตัวอย่างรวดเร็วซึ่งเรียกกันว่าการพองตัว (Inflation) การพองตัวนี้จะกระจายความหนาแน่นไปในทุกทิศทาง ความรู้นี้ทำให้นักดาราศาสตร์เริ่มมองเห็นว่า จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร แต่ก็ยังไม่สามารถอธิบายการกำเนิดกาแล็กซีได้ ต่อมาเมื่อมีการค้นพบ สสารมืด (Dark Matter) ทฤษฎีกำเนิดกาแล็กซีจึงอธิบายว่า ก่อนการพองตัวของจักรวาล ความหนาแน่นในจักรวาลมีลักษณะราบเรียบ แต่เมื่อมันพองตัวก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นของอาณาบริเวณในจักรวาลอย่างรุนแรง กล่าวคือเปลี่ยนจากความหนาแน่นที่ราบเรียบและสม่ำเสมอคล้ายทะเลสาบที่ไร้คลื่นลม กลายมาเป็นความหนาแน่นที่ไม่ราบเรียบและกระเพื่อมเหมือนคลื่นในทะเลขณะกำลังเกิดพายุ ในขณะเดียวกันสสารมืดก็จะทำให้เกิดการกระเพื่อมมากขึ้นเพราะมันจะดึงดูดสสารปกติให้มารวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเหมือนหยดน้ำบนใยแมงมุม ทำให้บริเวณเหล่านี้กลายเป็นบริเวณที่มีความหนาแน่นสูงมากและมีแรงโน้มถ่วงมากกว่าบริเวณที่อยู่รายรอบ แรงโน้มถ่วงจะดึงสสารปกติให้เข้ามารวมกันมากขึ้นๆ จนกระทั่งกลายเป็นแหล่ง “วัตถุดิบ” ที่จะให้กำเนิดกาแล็กซีในที่สุด ทฤษฎีนี้มีความเป็นไปได้จากหลักฐานการค้นพบรังสีฉากหลังของจักรวาล (Cosmic Microwave Background-CMB) ซึ่งยังคงเห็นได้อยู่ทุกวันนี้ นอกจากนั้นการค้นพบว่า ในกาแล็กซีมีปริมาณของสสารมืดมากกว่าสสารปกติราว 10 เท่าก็เป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่สนับสนุนให้ทฤษฎีนี้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น แล้วคำถามว่า ง้วนดิน น่าจะเป็นอะไร มันน่าจะเป็นกลุ่มสสารปกติ มีลักษณะเป็นกลุ่มก๊าซควบแน่นที่จับตัวเป็นกลุ่มก้อนกระจายตัวอยู่ในอวกาศก่อนการเกิดกาแล็กซี และสิ่งที่เรียกว่า สสารมืด (Dark Matter) ก็อาจจะเป็นผลที่เกิดขึ้นจาก อาภัสสรพรหม ที่แอบชิมง้วนดินเข้าไปแล้ว อาภัสสรพรหมหรือไม่ก็กลุ่มภูมิพรหม เทวดาอื่นๆ อาจจะเป็นพลังงานลึกลับ ที่เรียกว่า พลังงานมืด (Dark Energy) ก็เป็นได้
3. การเกิดดาราจักรและดวงดาว เมื่อแสงสว่างในตัวของอาภัสสรพรหมหายไป ดาราจักรหรือกาแล็กซีจึงเกิดขึ้น ก่อเกิดดวงดาวต่างๆ และดาวฤกษ์เกิดขึ้นมากมาย มีพระจันทร์ พระอาทิตย์ มีคืนวัน มีดาวนักษัตร มีเดือน มีกึ่งเดือน มีฤดู และปี ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการกำเนิดขึ้นของดาราจักรหรือกาแล็กซี ซึ่งมีดาวฤกษ์เป็นศูนย์กลางย่อยๆ ของดาราจักร เช่น ระบบสุริยจักรวาล
4. การเกิดมนุษย์ เมื่ออาภัสสรพรหมกินง้วนดินเป็นอาหาร กายก็หยาบกระด้าง ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏ พวกมีผิวพรรณดี ก็ดูหมิ่นพวกมีผิวพรรณทราม เพราะดูหมิ่นผู้อื่นเรื่องผิวพรรณ เพราะความถือตัวและดูหมิ่นผู้อื่น ง้วนดินก็หายไป
5. การเกิดกระบิดิน กระบิดินคล้ายกับเห็ด สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส ขึ้นแทนใช้เป็นอาหารได้ แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายก็หยาบกระด้างยิ่งขึ้น ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏชัดขึ้น เกิดการดูหมิ่นถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น กระบิดินก็หายไป
6. การเกิดเครือดิน เครือดินคล้ายผลมะพร้าวสมบูรณ์ด้วย สี กลิ่น รสขึ้นแทน ใช้กินเป็นอาหารได้ ความหยาบกระด้างของกาย และความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น เกิดการดูหมิ่นถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น
7. การเกิดข้าวสาลีไม่มีเปลือก มีกลิ่นหอมมีเมล็ดเป็นข้าวสุกขึ้นแทน ใช้เป็นอาหารได้ ข้าวนี้เก็บเย็น เช้าก็สุกแทนที่ขึ้นมาอีก เก็บเช้า เย็นก็สุกแทนที่ขึ้นมาอีก ไม่มีพร่อง ความหยาบกระด้างของกาย ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น
จากหลักฐานการศึกษาของนักมานุษยวิทยา พบว่า สังคมเริ่มแรกของมนุษย์เริ่มขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งล้านกว่าปี ในช่วงนี้ นับเป็นสังคมที่ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์และหาของป่า (hunting gathering) ซึ่งอาหารส่วนใหญ่อาจจะเป็นพวกผลไม้ ใบไม้ ธัญพืช และรากไม้ต่างๆ ที่ขึ้นอยู่ตามป่ามาเป็นอาหาร เป็นสังคมขนาดเล็ก เริ่มมีการจับคู่รวมกลุ่มกันเป็นครอบครัวและชุมชนหมู่บ้าน
8. การแบ่งแยกเป็นเพศ เมื่ออาภัสสรพรหมกลายร่างเป็นกายมนุษย์อย่างสมบูรณ์ จึงปรากฏเพศเป็นเพศหญิงและเพศชาย เมื่อต่างเพศเพ่งกันและกันก็เกิดความกำหนัดเร่าร้อน เกิดเพศสัมพันธ์กันขึ้น การร่วมเพศเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ จึงพากันเอาสิ่งของขว้างปา เพราะในสมัยนั้นถือว่าเป็นอธรรม เมื่ออยากเสพต้องไปกระทำนอกชุมชน
9. การสร้างบ้านเรือน มนุษย์เริ่มมีการปกปิดซ่อนเร้นร่างกายด้วยเครื่องนุ่งห่ม และสร้างบ้านเรือนเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการสมสู่กันระหว่างหญิงชาย
10. การสะสมอาหาร ต่อมา มีผู้เกียจคร้านที่จะนำข้าวสาลีมาตอนเช้าเพื่ออาหารเช้า นำมาตอนเย็นเพื่ออาหารเย็น จึงนำมาครั้งเดียวให้พอทั้งเช้าทั้งเย็น และเมื่อนำมาครั้งเดียวให้พอสำหรับ 2 วัน 4 วัน 8 วัน ข้าวสาลีจึงเกิดมีเปลือกห่อหุ้มข้าวสาลี ที่เกี่ยวแล้วก็ไม่งอกขึ้นแทน มีการขาดแคลนเป็นตอนๆ ตั้งแต่นั้นมา ข้าวสาลีจึงมีเฉพาะเป็นบางแห่ง
11. การแบ่งเขตแดนพื้นที่ทำกิน สัตว์มนุษย์เหล่านั้นจึงประชุมกันปรารภความเสื่อมลงโดยลำดับ แล้วมีการแบ่งข้าวสาลีและปักปันเขตแดนกัน
ในช่วงนี้ สังคมของมนุษย์ได้ถูกพัฒนาขึ้นตามลำดับ มนุษย์รู้จักการทำเกษตรกรม เป็นวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมที่สำคัญมากขั้นตอนหนึ่ง มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ในกาลต่อมา มีนักวิชาเรียกยุคนี้ว่า การปฏิวัติเกษตรกรรมครั้งที่ 1 (the first Agricultural Revolution) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นปีมานี่เอง เป็นสังคมที่มีขนาดใหญ่กว่าสังคมแบบแรกเล็กน้อย อาจเรียกว่าเป็นสังคมชนเผ่า (tribal society) อย่างเต็มที่ และที่สำคัญกำลังจะกลายเป็นสังคมที่หัวหน้าและองค์กรทางการเมืองการปกครองอย่างชัดเจนในยุคต่อมา
12. การลงโทษและการทำร้ายกัน ต่อมาบางคนรักษาส่วนตน ขโมยของคนอื่นมาบริโภค เมื่อถูกจับได้ ก็เพียงแต่สั่งสอนกันไม่ให้ทำอีก เขาก็รับคำ ต่อมาขโมยอีก ถูกจับได้ถึงครั้งที่ 3 ก็สั่งสอนเช่นเดิมอีก แต่บางคนก็ลงโทษ ตบด้วยมือ ขว้างด้วยก้อนดิน ตีด้วยไม้
13. ชนชั้นผู้นำทางการเมืองและการตั้งรัฐ ต่อมา มนุษย์ระดับผู้ใหญ่จึงประชุมกันปรารภว่า การลักทรัพย์ การติเตียน การพูดปด การจับท่อนไม้เกิดขึ้นแล้ว ควรจะแต่งตั้งสัตว์ผู้หนึ่งขึ้นให้ทำหน้าที่ติผู้ที่ควรติ ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ โดยพวกที่เหลือจะแบ่งส่วนข้าวสาลีให้ จึงเลือกคนที่งดงาม น่าเลื่อมใส น่าเกรงขาม แต่งตั้งเป็นหัวหน้า เพื่อปกครองคนติและขับไล่คนที่ทำผิด คำว่า มหาชนสมมติ (ผู้ที่มหาชนแต่งตั้ง) กษัตริย์ (ผู้ใหญ่ยิ่งแห่งเขต) ราชา (ยังชนอื่นให้สุขใจโดยธรรม) กษัตริย์จึงเกิดขึ้น ซึ่งมาจากมนุษย์พวกเดียวกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่โดยอธรรม ธรรมะจึงเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
14. ชนชั้นผู้นำทางศาสนาและความเชื่อ ต่อมา มีมนุษย์บางกลุ่มออกบวชมุ่งลอยธรรมที่ชั่ว ที่เป็นอกุศล จึงมีนามว่า พราหมณ์ (ผู้ลอยบาป) สร้างกุฎีหญ้าขึ้น เพ่งในกุฎีนั้น จึงมีนามว่า ฌายกะ (ผู้เพ่ง) มนุษย์บางคนไปอยู่รอบหมู่บ้านรอบนิคม แต่งคัมภีร์ จึงถูกเรียกว่า อัชฌายกะ (ผู้ไม่เพ่ง) การทรงจำ การสอน การบอกมนต์ เกิดจากการไม่เพ่ง เดิมมีความหมายเลว แต่บัดนี้มีความหมายทางดี
15. ชนชั้นกลางหรือกลุ่มพ่อค้า ยังมีมนุษย์บางกลุ่ม ถือการเสพเมถุนธรรม ประกอบการงานเป็นแผนกๆ จึงมีชื่อว่า เวสสะ (ประกอบการค้า)
16. ชนชั้นแรงงาน ยังมีมนุษย์บางกลุ่ม ประกอบการล่าสัตว์ อาศัยการล่าสัตว์เลี้ยงชีพ จึงมีชื่อว่าศูทร
17. กลุ่มนักบวช ต่อมา มีกษัตริย์ผู้เบื่อหน่ายหน้าที่ปกครอง จึงออกไปบวชเป็นบรรพชิต เรียกตัวเองว่า สมณะ คำว่า สมณะ จึงเกิดขึ้น แม้พวกพราหมณ์ พวกแพศย์ และพวกศูทรที่เบื่อหน่ายหน้าที่ของตนๆ ออกบวชเป็นบรรพชิตก็เรียกว่า สมณะ เหมือนกัน
และในที่สุด สังคมมนุษย์ก็พัฒนาขึ้นสู่วัฒนธรรมเกษตรกรรมอย่างเต็มรูปแบบ มีการใช้เทคโนโลยีในการผลิตเพื่อการเกษตร มีกลุ่มอาชีพที่หลากหลายมากขึ้น มีการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างชุมชนหมู่บ้าน การเกิดขึ้นของกลุ่มพ่อค้าหรือชนชั้นกลาง ซึ่งจะกลายเป็นสังคมแบบนครรัฐ (city-state) ที่ใหญ่ขึ้นในอนาคต และที่สำคัญ คือ การปรากฏตัวความเชื่อทางศาสนาและอำนาจเหนือธรรมชาติ (supernatural power) แสดงออกโดยผ่านพิธีกรรมต่างๆ (rites or rituals) ของกลุ่มนักบวช และการเกณฑ์แรงงาน (forced labour) ทำให้เกิดกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ซึ่งนี่ แสดงให้เห็นถึง สังคมในยุคพุทธกาล เป็นสภาพสังคมมนุษย์สุดท้ายที่ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์

อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าไม่ทรงยินดีนักที่จะไขความลับของจักรวาลให้กับมนุษย์บางคนที่ยังยึดติดอยู่กับความรู้ทางทฤษฎี ปรากฏความใน ปาฏิกสูตร เจ้าลิจฉวีองค์หนึ่งนามว่า สุนักขัตตะ เข้ามาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ด้วยคิดว่า จักทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ และยังหวังที่จะให้พระพุทธเจ้าทรงประกาศทฤษฎีว่าด้วยกำเนิดของโลก และถ้าไม่ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์และตรัสเรื่องทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลก ก็จะลาสิกขาออกไป แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ และตรัสเรื่องทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลก ทำให้เจ้าลิจฉวีนามว่า สุนักขัตตะ ขุ่นเคืองใจและลาสิกขาออกไป ต่อมา เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่หมู่บ้านของชาวมัลละชื่อ อนุปิยะ แคว้นมัลละ ในเวลาเช้าได้เสด็จเข้าไปหมู่บ้านเพื่อบิณฑบาต จึงเสด็จแวะเข้าไปหาภัคควโคตรปริพาชกถึงอารามของเขา ทรงได้รับการปฏิสันถารเป็นอย่างดี และเมื่อภัคควโคตรปริพาชกกราบทูลถามถึงเรื่องเจ้าลิจฉวี นามว่า สุนักขัตตะ ก็ได้ทรงเล่าให้ฟังถึงทฤษฎีต้นกำเนิดของจักรวาล โลก และมนุษย์เช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ในอัคคัญญสูตรนี้

ทฤษฎีกำเนิดจักรวาล

ทฤษฎีกำเนิดจักรวาลภาคอัคคัญญสูตร

ระยะเวลา 1 มหากัปป์ มีผู้รู้กล่าวไว้อย่างพิสดารมากมาย จะไม่ขอกล่าวถึงไว้ในที่นี้ แต่มีการสรุปไว้ว่า ใน 1 มหากัป มีการทำลายล้างใหญ่เพียง 1 ครั้ง นับตั้งแต่จักรวาลหรือเอกภพถูกทำลาย จนกระทั่งเกิดใหม่ และพินาศอีกครั้ง เป็นเวลา 4 อสงไขยกัป หรือ 256 อันตรกัป นับเป็น 1 มหากัป
ใน 1 อสงไขยปี เท่ากับเลข 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 140 ตัว ดังนั้น ใน 1 มหากัปป์ จึงมีค่าเท่ากับ 256 ตามด้วยเลขศูนย์ 140 ตัว

1 รอบอสงไขยปี เป็น 1 อันตรกัป
64 อันตรกัป เป็น 1 อสงไขยกัป
4 อสงไขยกัป เป็น 1 มหากัป

มหากัปป์ ประกอบด้วย 4 มหายุคของจักรวาล
1. มหายุคสังวัฏฏ์ คือ ยุคที่จักรวาลและเอกภพกำลังถูกทำลายล้างครั้งใหญ่ เป็นเวลา 64 อันตรกัป
2. มหายุคสังวัฏฏฐายี คือ ยุคที่จักรวาลและเอกภพมีแต่ความว่างเปล่า หลังจากจักรวาลถูกทำลายล้างครั้งใหญ่ เป็นเวลา 64 อันตรกัป
3. มหายุควิวัฏฏ์ คือ ยุคที่กำลังมีการก่อตัวขึ้นของเอกภพและจักรวาล เป็นเวลา 64 อันตรกัป
4. มหายุควิวัฏฏฐายี คือ ยุคที่จักรวาลและเอกภพได้ตั้งขึ้นใหม่เรียบร้อยเป็นปกติตามเดิม ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นเวลา 64 อันตรกัป
ดังนั้นในช่วงที่มีมนุษย์และสัตว์เจริญอยู่ในปัจจุบัน ก็คือ มหายุควิวัฏฏฐายี มีระยะเวลา 64 อันตรกัปนี้เอง

ปรากฏการณ์ทำลายล้างโลกนั้น มีอยู่ 3 สาเหตุ คือ ไฟ น้ำ และลม ซึ่งมีลำดับของการทำลายล้างรุนแรงต่างกันไปตามลำดับ
1. ไฟ (ความร้อน) จะเกิดปรากฏการณ์มหาเมฆกัปป์วินาศ คือ ฝนตกใหญ่ทั่วโลกก่อน ครั้นฝนหยุดแล้วจะไม่มีฝนอีก โลกจะแห้งแล้งไปโดยลำดับ แล้วเกิดดวงอาทิตย์ดวงที่ 2 จนถึงดวงที่ 7 ทำให้โลกร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนก่อตัวเป็นไฟประลัยกัลป์ เผาไหม้โลกจนกลายเป็นจุลมหาจุล
2. น้ำ (ความเย็น) จะเกิดปรากฏการณ์มหาเมฆกัปป์วินาศ แล้วเกิดฝนด่างตกลงมาท่วมโลกไปทั่ว กลายเป็นน้ำประลัยกัลป์ ย่อยโลกให้สลายไปเป็นจุลมหาจุล
3. ลม (อากาศ,พายุ) จะเกิดปรากฏการณ์มหาเมฆกัปป์วินาศ แล้วจะเกิดลมวินาศเป็นลมประลัยกัลป์ พัดทำลายโลกให้แหลกเป็นจุลมหาจุล
ระยะเวลาตั้งแต่เกิดมหาเมฆกัปป์วินาศ จนถึงไฟบรรลัยกัลป์ไหม้โลกจนหมดสิ้นสลายไป ใช้เวลายาวนาน 64 อันตรกัปป์ เรียกว่า มหายุคสังวัฏฏกัปป์
เมื่อโลกวินาศเป็นจุลเหลือแต่ความว่างเปล่า ก็จะว่างเปล่าปราศจากโลกนี้ต่อไปอีกยาวนาน64 อันตรกัปป์ เรียกว่า มหายุคสังวัฏฏฐายีกัปป์
หลังจากผ่านพ้นความว่างเปล่าที่ยาวนาน ดวงอาทิตย์จะเริ่มลดลงจนเหลือดวงเดียวอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏการณ์ มหาเมฆกัปป์สมบัติ คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติจะเริ่มตั้งขึ้นใหม่ จะเกิดฝนตกทั่วจักรวาล ลมจะประคองน้ำฝนรวมเป็นก้อนกลม แล้วก็แห้งไป ปรากฏเป็นโลกขึ้นใหม่ ใช้เวลายาวนาน 64 อันตรกัปป์ เรียกว่า มหายุควิวัฏฏกัปป์
เมื่อโลกเกิดวิวัฒนาการของเปลือกโลกเป็นแผ่นดิน ภูเขา และมหาสมุทร และเกิดชั้นบรรยากาศห่อหุ้มโลก เกิดมีพืชพันธุ์ สัตว์ และมนุษย์ ใช้เวลายาวนาน 64 อันตรกัปป์ เรียกว่า มหายุควิวัฏฏฐายี
ในมหากัปป์หนึ่งๆ จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้น 1-5 พระองค์ มหากัปป์ที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นเลย เรียกว่า สุญกัปป์ ส่วนมหากัปป์ในยุคปัจจุบัน มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้ว 5 พระองค์ เรียกว่า ภัทรกัปป์ โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงอุบัติขึ้นแล้ว คือ พระกกุสันธะพุทธเจ้า พระโกนาคมน์พุทธเจ้า พระกัสสปะพุทธเจ้า พระสมณโคดมพุทธเจ้า และพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า ซึ่งจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์สุดท้ายในมหากัปป์นี้ และเมื่อสิ้นมหากัปป์นี้แล้ว คัมภีร์อนาคตวงศ์กล่าวว่า อสุญญกัปป์ ต่อไปจะเป็น มัณฑกัปป์ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์เกิดขึ้น คือ พระรามโพธิสัตว์ และพระเจ้าปเสนทิโกศล (พระธรรมราช)
สังวัฏฏกัปป์ เมื่อโลกถูกทำลายเพราะไฟบรรลัยกัลป์ พรหมภูมิ 4 ชั้นแรก จะถูกทำลายลง (ถ้าถูกทำลายด้วยน้ำ พรหมภูมิ 6 ชั้นแรก จะถูกทำลาย และถ้าถูกทำลายด้วยลม พรหมภูมิทั้ง 9 ชั้นแรก จะถูกทำลาย) จึงเป็นไปได้ว่าในช่วงสังวัฏฏกัปป์ที่ผ่านมา โลกถูกทำลายเพราะไฟ สัตว์โลกที่รอดชีวิตพากันบำเพ็ญธรรมแล้วขึ้นไปเกิดอยู่ในชั้นอาภัสสรพรหม
ลักษณะทางกายภาพของอาภัสสรพรหม มีรูปพรรณสัญฐานเป็นบุรุษเพศ (หมายถึง มีกายตรง ไม่มีถันแบบสตรีเพศ และคาดว่าจะไม่มีอวัยวะเพศด้วย เพราะพวกพรหมไม่มีความกำหนัดในกามคุณที่เป็นเมถุนธรรม) มีรัศมีแผ่ซ่านออกจากร่างกายเหมือนกับลูกไฟมีหัวตกลง คล้ายกับเปลวไฟขาดตกไปจากคบเพลิง มีสภาพเป็นกายทิพย์ มีฤทธิ์ทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีแผ่ซ่านออกจากกาย สัญจรอยู่ในอากาศ สถิตอยู่ในวิมานที่งดงาม (เป็นไปได้ว่า อาภัสสรพรหม น่าจะมีลักษณะคล้ายกับดาวหาง แต่ไม่ใช่ดาวหาง อาจเป็นกลุ่มก้อนก๊าซบางอย่างที่เรืองแสง หนีออกไปวนเวียนอยู่นอกเขตขอบฟ้าจักรวาล หลังการทำลายล้างของไฟบรรลัยกัลป์)
พรหมชั้นนี้จัดอยู่ในรูปพรหม ชั้นที่ 6 มีชื่อว่า อาภัสราภูมิ ภูมิธรรมในการเข้าอยู่ คือ เป็นผู้ที่สามารถบำเพ็ญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุทุติยฌาน ขั้นประณีตสูงสุด มีอายุประมาณ 8 มหากัปป์ อยู่พื้นที่เดียวกับชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ และชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ แต่อยู่คนละเขตและมีความประณีตกว่า หลังการทำลายล้างของไฟบรรลัยกัลป์ รูปพรหมตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไป พ้นจากการทำลายล้าง พวกสัตว์มนุษย์ที่มีจิตพากันบำเพ็ญธรรมหนีขึ้นไปอยู่
วิวัฏฏกัปป์ คือ ช่วงที่จักรวาลกำลังก่อตัวตัวขึ้นใหม่ พวกสัตว์ส่วนมากที่หนีไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม (ไม่ได้บอกว่าพรหมชั้นที่ 5 คือ อัปปมาณาพรหม จะพากันมาด้วยหรือเปล่า) และเมื่อโลกอุบัติขึ้นมาใหม่ (อาจหมายถึงมีความเย็นลง) ก็จุติลงมาสู่โลกนี้ เกิดขึ้นเองจากใจ กินปีติเป็นอาหาร มีแสงสว่างในตัว ไปได้ในอากาศ มีสภาพเหมือนเช่นในชั้นอาภัสสรพรหม ในขณะที่โลกวิวัฒนาการขึ้นมาใหม่ๆ นั้น จักรวาลทั้งจักรวาล มีแต่น้ำแผ่เต็มห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง ว่างเปล่า ไม่มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดาราจักร และดวงดาวใดๆ ทั่วบริเวณมืดมิด ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีกาลเวลา และไม่มีมนุษย์ จนกระทั่ง จักรวาลเริ่มเกิดมีง้วนดินลอยอยู่บนน้ำ ง้วนดินนั้นมีลักษณะเหมือนนมสดที่เคี่ยวให้งวด มีกลิ่น รส สี คล้ายเนยใสมีรสดุจน้ำผึ้ง
ในปาฎิกสูตร มีการยืนยันเหตุการณ์เดียวกันนี้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อโลกเกิดใหม่ภายหลังพินาศ โลกมนุษย์ก็กลับเกิดเจริญขึ้นอีก เมื่อโลกกำลังเจริญอยู่ สัตว์เหล่านั้นก็ทยอยจุติมาสู่โลก แต่ยังมีลักษณะทางกายภาพเช่นเดิมเหมือนอยู่ในชั้นอาภัสสรพรหม คือ กินปีติเป็นอาหาร ยังมีอำนาจฌานอยู่ มีแสงสว่างในตัวเอง เดินทางไปในอากาศ แต่ระยะเริ่มแรก มีการมาจุติเพียงผู้เดียว ต่อมาคนอื่นก็ทยอยจุติจากชั้นอาภัสสรพรหมลงมา เพราะสิ้นอายุหรือเพราะสิ้นบุญ ก็พากันมาลงมาอยู่ในวิมานพรหม ผู้ที่จุติลงมาก่อนก็สำคัญว่า ตนเองเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นผู้ทรงอำนาจ และเข้าใจตนเป็นผู้เนรมิตผู้ที่มาเกิดทีหลัง แม้พวกที่เกิดภายหลังก็มีความเคารพผู้เกิดก่อน ยกให้เป็นพรหม เพราะเข้าใจว่าผู้ที่เกิดก่อนเนรมิตตนมา
ผู้ที่เกิดก่อนนั้นมีผู้มีอายุยืน มีศักดิ์มากกว่า ส่วนผู้ที่เกิดภายหลังมีอายุน้อยกว่า เมื่อหมดอายุลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ทำสมาธิจนได้บรรลุเจโตสมาธิ ก็ระลึกชาติถึงชาติที่เป็นพรหมอยู่ แต่ชาติต่อจากนั้นไม่สามารถระลึกได้ เขาจึงเข้าใจว่า ผู้เกิดก่อนเป็นพรหม เป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนตนเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอายุน้อย และเชื่อว่าจะต้องบำเพ็ญธรรมเพื่อกลับไปหาพรหมผู้เป็นใหญ่อีกครั้ง

ทฤษฎีการเกิด-ดับ

พุทธวิจัย
ขันธ์ 5: ความจริงกับการค้นหาความจริง ตอน ทฤษฎีการเกิด-ดับ

วิวาทะระหว่างนีลส์ โบร์ กับ ไอน์สไตน์
นีลส์ โบร์ ถาม “ถ้าโลกนี้ไม่มีมนุษย์เกิดขึ้นมาเลย โลกและจักรวาลจะเป็นอย่างที่เราเห็นหรือไม่”
ไอน์สไตน์ตอบ “ถ้าไม่มีมนุษย์เกิดมาเลย ดวงจันทร์มันก็ยังอยู่ของมันตรงนั้น ภูเขา น้ำตก ทุกสิ่งทุกอย่างของมันก็มีอยู่แล้ว”
โบร์ ค้านว่า “ถ้าไม่มีมนุษย์เกิดขึ้นมา โลกและจักรวาลอย่างที่เราเห็นก็จะไม่มี ทั้งหมดนี้เกิดจากการสร้างสรรค์ของจิตมนุษย์ แล้วไปยึดถือว่ามันมีอยู่ เป็นอยู่จริง”
ไอน์สไตน์งงกับคำตอบ เกิดการถกเถียงกันอย่างยาวนาน ..............................
อีกครั้งหนึ่งเขาถกเถียงอย่างรุนแรงกับนีลส์ โบร์ นีลส์ โบร์ บอกว่า “ต้นไม้ที่ล้มในป่าลึกไม่มีเสียง เพราะในป่าลึกไม่มีคน”
ไอน์สไตน์ กลับตอบอย่างโมโหว่า “ต้นไม้ล้มมันก็ต้องมีเสียงไม่ว่าจะมีคนไปฟังมันหรือไม่ก็ตาม”
...หลังจากเถียงกันอยู่นาน โบร์ได้พาไอน์สไตน์ไปที่หน้าห้อง เขาโยนหนังสือเล่มหนึ่งเข้าไปข้างในแล้วปิดประตู "มีหนังสืออยู่ในห้องไหม?" โบร์ถาม
"มี" ไอน์สไตน์ตอบ
"รู้ได้ยังไงว่ามี ลูกชายผมอาจจะเปิดประตูห้องอีกด้านหนึ่งแล้วหยิบมันออกไปแล้วก็ได้" โบร์ย้อน
"ผมจะพิสูจน์ให้ดูว่ามันมี" ไอน์สไตน์กล่าวก่อนเดินไปเปิดประตูห้องออก หนังสือยังวางอยู่ที่เดิม
"เห็นไหมล่ะ ไม่ว่าเราจะมองเห็นมันหรือไม่ มันก็ยังวางอยู่ที่เดิมมาตั้งแต่ที่คุณโยนเข้าไป"
"แต่นั่นเป็นการยืนยันหลังจากที่คุณเปิดประตูออกแล้วเห็นมันมิใช่หรือ?" โบร์กล่าว
ไอน์สไตน์เดินเดือดดาลออกไปจากห้องพลางกล่าวว่า "ผมจะหาทางล้มทฤษฎีของคุณให้ได้!"
ครั้งหนึ่ง ไอน์สไตน์พูดว่า “พระเจ้าไม่เล่นลูกเต๋าหรอก คุณพยาบาล!”
ต่อมา สตีเฟน ฮ็อคกิ้ง บอกว่า “พระเจ้าไม่เพียงแต่ทรงเล่นลูกเต๋าเท่านั้น บางครั้งพระองค์ยังทรงทอดมันไปยังที่ที่ไม่มีคนเห็นอีกด้วย”
นิทานเซน เรื่อง จิตที่เคลื่อนไหว
ชายสองคนกำลังยืนถกเถียงกันในเรื่องการสะบัดไหวของผืนธงท่ามกลางกระแสลม
“เป็นลมต่างหาก ที่เคลื่อนไหว” ชายคนหนึ่งกล่าว
“ไม่ใช่หรอก เป็นผืนธงต่างหาก ที่เคลื่อนไหว”
อาจารย์เซ็นท่านหนึ่ง ซึ่งบังเอิญเดินผ่านชายที่กำลังถกเถียงกันอยู่นั้นไปพอดี เมื่อได้ยินเรื่องที่ชายทั้งสองกำลังถกเถียงกันอยู่ก็ขัดขึ้นว่า
“ไม่ใช่ทั้ง ลม และ ทั้ง ผืนธง หรอก ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ ท่านอาจารย์พูด อันที่จริง เป็น จิต ของท่านต่างหากล่ะ ที่เคลื่อนไหว”

พระพุทธศาสนากล่าวว่า โลกและมนุษย์ประกอบด้วยขันธ์ 5 (ขันธ์ แปลว่า กอง หมวดหมู่ ส่วน ชนิด หรือประเภท) มี 5 ประเภท คือ
1. รูป คือ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นหรือสัมผัสได้ เป็นวัตถุหรืออะไรก็ตามที่มีคุณลักษณะรวมเป็นกลุ่มก้อน ในทางวิทยาศาสตร์ รูปคือพลังงานหรือสสาร ที่ปรากฏเป็นอนุภาคหรือคลื่นก็ได้ มันคือเป็นสิ่งที่ถูกสังเกต รูปที่แท้จริงไม่สามารถบอกได้ว่ามีอยู่ในลักษณะใด หรือไม่มีอยู่ในลักษณะใด ดังที่ นีลส์ โบร์ บอกว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีมนุษย์ โลกและจักรวาลจะเป็นอย่างที่มนุษย์เห็นหรือไม่ เพราะมนุษย์เห็นโลกและจักรวาลตามอาการของตนเอง เหมือนไส้เดือนที่ไม่มีตา ชอนไชอยู่ในดิน ก็จะเห็นโลกตามอาการของตน ถ้ามันพูดได้ แล้วเราถามเรื่องโลกกับมัน มันก็จะบอกเราว่า โลกไม่มีสี มีลักษณะแข็งบ้าง อ่อนบ้าง บางที่เปียกชื้นด้วย เราจะบอกกับไส้เดือนรู้ไม่หมดก็ไม่ได้ เพราะมันมีอาการรับรู้อยู่แค่นั้น เหมือนตาบอดคลำช้าง ปลาอยู่ในน้ำ
เพราะฉะนั้น โลกและจักรวาลที่แท้จริงเป็นอย่างไร เกินวิสัยของมนุษย์ที่จะรับรู้ได้อย่างแท้จริง โลกและจักรวาลอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ตามนุษย์เห็น หรือแท้จริง โลกและจักรวาลไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่อย่างไม่จริง เหมือนการเห็นภาพลวงตา อย่างพยับแดดเห็นไกลๆ ก็ว่ามี เดินเข้าไปใกล้ๆ ก็ไม่มี หรือการเกิดขึ้นของฟองน้ำ ที่เกิดจากการตกกระทบกันของน้ำ เราเห็นเป็นกลุ่มก้อน แต่ความจริงมันเป็น ฟองน้ำโป่งพองขึ้น เกิดขึ้นแล้วก็แตกไปอย่างรวดเร็ว รูปแท้จริงเป็นลักษณะที่พึ่งพิงอาศัยกันของเหตุปัจจัยหลายตัว เรียกว่า เกิดขึ้นและดับไปตามกฎอิทัปปปัจจยตา หรือปฏิจจสมุปบาท คือ สิ่งนี้เกิด สิ่งนี้ดับ เกิด-ดับ เกิด-ดับ ต่อเนื่องกันไปอย่างรวดเร็ว
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะด้านฟิสิกส์ควอนตัม กล่าวถึง ความไม่แน่นอนของปรากการณ์ในระดับควอนตัม โดยเฉพาะการตรวจวัด โดยเปรียบเทียบเหมือนกับแมวในกล่องดำ ที่เราไม่สามารถรู้ได้ว่า แมวในกล่องดำ เป็นหรือตาย จนกว่าจะเปิดดู จนต้องใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็นมาอธิบาย หรือพยายามสร้างทฤษฎีใหม่อย่างทฤษฎีสตริงในมาใช้อธิบาย เพื่อไปค้นหาตามสมมติฐานที่เชื่อว่า มีอะไรบางอย่างอยู่จริง เช่น หาความยาวพลังค์ คือ สิ่งที่เล็กที่สุดที่เชื่อว่ามีแต่ยังไม่เจอ โดยพยายามหาสิ่งที่เชื่อว่า มี กับ ไม่มี (แทนค่าด้วยตัวเลข 0 กับ 1)
ที่แท้ พระพุทธศาสนากล่าวว่า นามและรูปมีการเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา ความเร็วของการเกิด-ดับของรูปหยาบ เช่น โลกและจักรวาล ก็เห็นการเกิด-ดับช้า เป็นหลายล้านปี ส่วนที่เล็กที่สุด อย่างอนุภาคเล็กๆ ก็เกิด-ดับไว นับเป็นเสี้ยววินาที ส่วนจิตของมนุษย์เกิด-ดับไวมาก ชั่วลัดนิ้วมือเดียว เกิด-ดับ เป็นแสนโกฏิครั้ง
ความจริงเหตุที่เราเห็นสสารเป็นอนุภาค ก็เพราะเราเห็นภาพชั่วขณะหนึ่งในระหว่างของการเกิดดับ แต่ที่เห็นเป็นคลื่นเพราะเห็นเป็นช่วงยาวขณะเกิด-ดับ เหมือนกับการถ่ายภาพดวงไฟที่เปิดขึ้นแล้วดับลง ถ้าเรานำฟิล์มมากรอภาพช้าๆ เราก็จะเห็นว่า ดวงไฟค่อยๆ สว่างขึ้นแล้วก็หรี่ลง จากภาพจางขึ้นไปหาชัด จากภาพชัดไปหาจางลง เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ไป ดังนั้น เมื่อเราตรวจหาตำแหน่งของอนุภาค เราจึงไม่รู้ว่าเส้นทางเดินของอนุภาคเป็นอย่างไร เมื่อตรวจเส้นทางเดิน เราก็ไม่รู้ตำแหน่งที่แท้จริงของอนุภาคอยู่ตรงไหน แมวในกล่องดำ จึงมีลักษณะของความมีอยู่และไม่มีอยู่ในสถานะเดียวกัน ความรู้ทางฟิสิกส์ควอนตัมจึงบอกได้เพียงการประมาณการณ์เป็นเปอร์เซนต์ควอไทม์เท่านั้น
แท้ที่จริง เราควรใช้หลักการเกิด-ดับในการอธิบายปรากฏการณ์นี้ โดยค้นหาว่า สิ่งที่สังเกตนั้นเกิด-ดับในอัตราเท่าไหร่ ในเสี้ยววินาที เมื่อเรารู้ค่าที่แท้จริงแล้ว เราก็สามารถสร้างสิ่งนั้นใหม่ได้จากการคืนค่าการเกิด-ดับนั้น เหมือนกับการปรับคลื่นรับให้ตรงกัน เราจะรู้ว่าแมวในกล่องดำ มีอยู่ คือ เกิดในช่วงไหน หรือ ตายไปแล้ว คือดับในช่วงไหน ซึ่งในระหว่างเกิดกับดับนี้ คือช่วงที่แมวมีชีวิตอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตาย ตอนนี้ในระดับสสารที่เล็กที่สุดของร่างกายมนุษย์ ก็มีสภาพอย่างนั้นเหมือนกัน คือ เกิด-ดับ เกิด-ดับ อยู่ตลอดเวลา ถ้ามีบางสิ่งที่ผิดไปจากเหตุปัจจัยของการเกิดดับของตัวเราพุ่งเข้าใส่ เราอาจจะหายวับไปกับตา และไม่เห็นซากเลยก็ได้ เราอาจสร้างเครื่องมือวาร์ปสำเร็จก็ได้ ถ้าเรารู้ว่ามนุษย์คนไหนมีค่าเกิด-ดับเท่าไหร่ หรือไม่ก็เอาไปทำโทรจิตส่งข้อมูลก็ท่าจะดี– ก็ว่าไป
ในการปฏิบัติสมาธิภาวนาทางพระพุทธศาสนา จะสอนให้ผู้ปฏิบัติค้นหาปัจจุบันขณะก่อนว่า ขณะจิตที่เป็นปัจจุบันอยู่ตรงไหน เมื่อค้นหาได้แล้วจะพบกับภาวะของการเกิด-ดับของจิต ภาวะการเกิด-ดับของจิตจะแสดงให้เห็นถึงกฎไตรลักษณ์ คือ รู้ว่าสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ สังขารทั้งหลาย อันประกอบเป็นโลกและจักรวาล หรือแม้แต่ตัวจิตมนุษย์เอง มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ ไม่เที่ยงแท้ มีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวตลอดเวลา คือ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วก็ดับไป สภาวะเช่นนี้เรียกว่า ทุกข์ คือสังขารทั้งหลายพร้อมจะแตกสลายหรือเปลี่ยนไปตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย คือ จากสสารจะเปลี่ยนเป็นพลังงานก็ได้ จากพลังงานจะเปลี่ยนเป็นสสารก็ได้ หรือสสารหนึ่งเปลี่ยนเป็นสสารหนึ่ง พลังงานหนึ่งจะเปลี่ยนเป็นพลังงานหนึ่ง ถ้ารู้เหตุปัจจัยที่แท้จริง เป็นที่มาของสูตรอันโด่งดังของไอน์สไตน์ เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะสภาวะทั้งหมดทั้งมวลนี้ ตั้งอยู่ภายใต้กฎอนัตตา คือ ความไม่มีตัวมีตนที่แท้จริง เราจะไม่เจออนุภาคอะไรอีก ถึงเจออีก มันก็จะมีสภาวะเกิด-ดับอย่างนี้อีก แต่จะเกิด-ดับในอัตราเร็วเท่าไหร่ อาจเกินสติปัญญาของมนุษย์ที่จะรับรู้ได้ และการเกิดขึ้นของมัน อาศัยเหตุปัจจัยหรือองค์ประกอบอื่นๆ เกิดขึ้น เหตุปัจจัยหรือองค์ประกอบนั้นๆ ก็มีเหตุปัจจัยหรือองค์ประกอบอื่นๆ ทำให้เกิดขึ้นอีกแบบอิงอาศัยกัน ดังกลอนไฮกุว่า
หินนี้มีสีเขียวด้วยตะไคร่
ตะไคร่มีสีเขียวด้วยมีหินให้เกาะ
ตะไคร่มิได้มีสีเขียว
หินก็มิได้มีสีเขียว
เราจึงไม่สามารถหาแก่นสาระของสรรพสิ่งได้ แม้แต่ตัวจิตมนุษย์เองก็ไม่พ้นจากกฎไตรลักษณ์เช่นเดียวกัน มีการเกิด-ดับอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง เหมือนการระเบิดของเครื่องยนต์ ทำให้รถยนต์แล่นไป เหมือนการกระพริบถี่ๆ ของกระแสไฟในหลอดนีออน ทำให้เกิดแสงสว่างขึ้น ดังนั้น โลกและจักรวาลที่เราเห็นจึงไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น มันมีสภาพเป็นอนัตตา คือ มีการเกิด-ดับ เกิด-ดับ เกิด-ดับ ที่เกิด-ดับ ตลอดเวลา เหมือนภาพที่ค่อยๆ ชัดขึ้นๆ ชัดขึ้นๆ แล้วก็จะจางลงๆ จางลงๆ แล้วชัดขึ้นๆ ชัดขึ้นๆ แล้วจางๆ จางลงๆ เป็นอยู่อย่างนี้ ที่เราเห็นสสารและพลังงานงานทั้งหลายๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ มันก็คืออัตราถี่ของการเกิด-ดับที่ต่างกันนั่นเอง แรงทั้ง 4 ในจักรวาล คือ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์อ่อน แรงนิวเคลียร์แข็ง อย่างที่ไอน์สไตน์พยายามรวมแรงทั้ง 4 เข้าไว้ด้วยกันไม่สำเร็จนั้น แท้จริง แรงทั้ง 4 นั้น ก็คือ สภาวะที่มีการเกิด-ดับที่ต่างกันนั่นเอง มีการเกิด-ดับในอัตราที่สูง สามารถเหนี่ยวนำวัตถุขนาดใหญ่ในระดับจักรวาลหรือแม้แต่แสงเอาไว้ได้ แต่ถ้าเรารู้ว่าเป็นเท่าไหร่ เราจะสร้างเครื่องมือเหาะหนีแรงโน้มถ่วงได้เลย จะเดินทางย่นระยะทางก็ได้นะ แบบยานอวกาศในหนังที่พุ่งปี๊ดผ่าประตูมิติเวลาไปไง หรือใช้โทรจิตต่อสู้อย่างในหนังก็ได้นะ-ก็ว่าไป
สรุป เราไม่ต้องใช้เส้นสตริง หรือใช้สแตนท์อินมาแสดงแทน เพื่อใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่ลึกลับของธรรมชาตินี่ เพียงเราค้นหาว่า โลก จักรวาล สสาร พลังงาน และแรงต่างๆ มีอัตราการเกิด-ดับเท่าไหร่ เราก็จะสร้างเครื่องมือเลียนแบบธรรมชาติได้ ก็ไม่รู้ว่าจะดีหรือเปล่านะ คนยิ่งชั่วๆ กันอยู่ด้วย
2. เวทนา คือ ระบบการรับรู้ถึงรูปนั้น ทางวิทยาศาสตร์ คือ เครื่องมือตรวจวัดหรือเซ็นเซอร์ ซึ่งถ้าไม่มีเครื่องตรวจวัด เราก็ไม่สามารถรู้จักรูปนั้นได้ รวมไปถึงตัวผู้สังเกตด้วย เพราะฉะนั้น ต้นไม้ล้มในป่า ไม่ใช่ว่า ไม่มีเสียง แต่การล้มของต้นไม้จะมีเสียงหรือไม่อย่างไรอยู่ที่ตัวรับรู้ที่มีสิ่งที่ใช้รับรู้ต่างกัน ซึ่งอาจแปลความหมายได้ต่างกันก็ได้ เช่น งูเลื้อยที่พื้นดินรับรู้เสียงจากกระดูกคางก็แปลเป็นคลื่นสั่นสะเทือน กวางมีหูรับรู้เป็นคลื่นเสียงในระดับที่ตนเองรับรู้ได้ ส่วน นีลส์ โบร์ ให้เหตุผลว่า ในป่าลึกไม่มีคนอยู่ ต้นไม้ล้มจึงไม่มีเสียง นั้นก็ถูก เพราะถ้าไม่ตัวรับรู้อยู่ที่นั่น การล้มของต้นไม้จะเป็นสภาวะอย่างหนึ่งที่เราจะบอกไม่ได้ว่าเป็นเสียงหรือเป็นอะไรกันแน่ แม้เอาคนที่หูหนวกสนิทไปยืนอยู่ในป่า แล้วให้ต้นไม้ล้ม เขาก็จะบอกว่า ต้นไม้ล้มไม่มีเสียงอะไรเลย เช่นกัน เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีตัวรับรู้ โลกและจักรวาลจะไม่ปรากฏอย่างที่เราเห็น แต่จะอยู่ในสภาวะเกิด-ดับของมันเอง มันเป็นอนัตตาเสียตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ มันเป็นความผิดของเราเองที่ดันเกิดมาเห็นโลกและจักรวาลเป็นเช่นนั้น
"เมื่อเราข้ามสะพาน"
"น้ำใต้สะพานไม่ไหล"
"สะพานต่างหากที่ไหล"
3. สัญญา คือ สิ่งที่สามารถจดจำการรับรู้รูปนั้นได้ (ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงจดจำรูป แต่หมายถึงเวทนาที่รับรูปนั้น เพราะเวทนาการรับรู้ อาจจะรับรู้รูปไม่ตรงตามความเป็นจริงก็ได้ อย่างที่เรารับรู้โลกและจักรวาลไม่ได้เป็นไปตามความจริง ตัวอย่างเช่น การเห็นสีของคนตาบอดสี ก็จะเห็นสีที่ผิดเพี้ยนไปจากความจริง หรือคนตาดีก็จะรับรู้สีในขอบเขตจำกัดของตามนุษย์ปกติเท่านั้น) ทางวิทยาศาสตร์ คือ การบันทึกข้อมูลการตรวจวัดสสารหรือพลังงานนั้นไว้ ถ้าไม่มีสัญญาก็เหมือนกับการถ่ายรูปแล้วไม่บันทึกภาพ
สัญญาในอีกความหมายหนึ่งก็คือ การบันทึกข้อมูลตัวเองเพื่อจะได้สามารถถ่ายทอดหรือผลิตซ้ำตัวเองอีกครั้ง เหมือนกับรหัสพันธุกรรมของพืช สัตว์หรือมนุษย์ ในคอมพิวเตอร์ก็มีรหัส 0 กับ 1 ในพวกสสารหรือพลังงานก็คือ อัตราการเกิด-ดับ ถ้าเรารู้ว่ามีค่าเท่าไหร่ เทคโนโลยีด้านการซ่อมแซมตัวเองของกลไกต่างๆ จะกลายเป็นจริงทันที
4. สังขาร คือ ระบบคิดปรุงแต่ง แยกแยะสิ่งที่จดจำไว้นั้น วิทยาศาสตร์ ก็คือ การวิเคราะห์วิจัยแยกแยะข้อมูลที่บันทึกไว้นั้น จัดเป็นระบบ เป็นประเภท หมวดหมู่ให้ชัดเจนเพื่อการเทียบเคียงกับผลกับการทดลองอื่นๆ
สังขารนี่แหล่ะจะเป็นสิ่งที่ทำให้ระบบการสร้างใหม่เกิดขึ้นจริง โดยอาศัยสัญญาคือข้อมูลที่บันทึกไว้ในรูปรหัสหรือพันธุกรรม สังขารเป็นตัวกระบวนการปรุงแต่งให้ก่อกำเนิด เหมือนเป็นตัวเร่งให้เมล็ดพันธุ์พืชเติบโต สังขารประกอบด้วย เหตุปัจจัยหลายตัว เช่น เมล็ดพืชจะงอกได้ก็ด้วยมีดิน มีน้ำ อากาศ ฯลฯ เป็นตัวสนับสนุนให้ต้นไม้งอกเงยขึ้น โลกและจักรวาลก็เกิดขึ้นจากกระบวนการของสังขาร ถ้าปรากฏการณ์ Big Bang เป็นเรื่องจริง สังขารก็คือกระบวนการก่อกำเนิดนั้น แต่จากทฤษฎีนี้ สังขารเป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เกิด-ดับขึ้น จนกลายเป็นโลกจักรวาลดังที่เราเห็น เหตุปัจจัยในสังขาร เป็นสิ่งเดียวที่เราจะต้องรู้ให้ว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง นอกจากสังขารจะเป็นกระบวนการแห่งการสร้างสรรค์ ยังเป็นกระบวนแห่งการทำลาย คือ การทำให้ดับด้วยเช่นกัน
5. วิญญาณ คือ ระบบที่รู้สิ่งนั้นๆ ได้ วิทยาศาสตร์ คือ การสังเคราะห์ข้อมูลนำไปสู่ข้อสรุปความจริงหรือเป็นทฤษฎีว่า พลังงานหรือสสารนั้นๆ มีองค์ประกอบหรือมีสภาพที่แท้จริงอย่างไร และจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร
วิญญาณจะเป็นจุดสุดยอดของกระบวนการกำเนิดโลกและจักรวาลทั้งหมด มันคือสิ่งเดียวที่รู้เจตจำนงทั้งหมดแห่งการก่อกำเนิดนี้ วิญญาณสิงสถิตอยู่ทุกที่ สรรพสิ่งมีวิญญาณครองในระดับที่แตกต่างกันตามศักยภาพของสิ่งนั้น บางแห่งเรียกมันว่า “พระเจ้า” บางแห่งว่า “ผี”
แต่วิญญาณในพระพุทธศาสนามีสภาพเป็นนามธรรม ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรูปร่าง ไม่มีน้ำหนัก ไม่กินพื้นที่ รับรู้อารมณ์และสิ่งเร้าได้ไกล เกิดดับอยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งสุดท้ายที่ก่อกำเนิดเพราะเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยทำให้เกิด วิญญาณก็ไม่เกิด เมื่อวิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัยใดๆ ก็เรียกชื่อไปตามนั้น เช่น วิญญาณเกิดเพราะอาศัยตาเห็นรูป ก็เรียก จักขุวิญญาณ เหมือนไฟเกิดขึ้นเพราะเชื้อไฟ เช่น ถ่านไม้หรือแก๊ส ดังนั้น วิญญาณจึงมีสภาพเกิดดับอย่างรวดเร็ว ไม่คงที่ มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย เพราะต้องทำงานผ่านประสาทสัมผัสที่เกิดขึ้นอย่างว่องไวเป็นช่วงๆ ตามวิถีการเกิด-ดับต่อเนื่องไม่ขาดสาย สืบสันตติอย่างนี้ไปเรื่อยๆ พระพุทธศาสนาปฏิเสธความเที่ยงแท้ของวิญญาณ แต่รับรองสันตติคือความต่อเนื่องของวิญญาณ
วิญญาณ เป็นสิ่งที่ทำให้ปรากฏการณ์เกิด-ดับของโลกและจักรวาลเป็นไปได้ เป็นสิ่งที่ทำให้สิ่งนั้นๆ ปรากฏแก่เรา และทำให้สิ่งต่างๆ มีความแตกต่างกัน ถ้าไม่มีวิญญาณแล้ว เราจะไม่มีแยกแยะว่าสิ่งต่างๆ ต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร หรือมีอยู่และไม่มีอยู่อย่างไร เมื่อขาดวิญญาณ จักรวาลและโลกจะมีสภาพเงียบงันอยู่อย่างนั้น เพราะไม่มีสิ่งใดไปล่วงรู้มัน “เมื่อต้นไม้ล้มในป่าลึก ไม่มีเสียง” เพราะที่ตรงนั้น ไม่มีวิญญาณไปรับรู้มันนั่นเอง


–โอ แม่เจ้า ข้าจะบ้า ที่จะพรรณนาถึงมันด้วยภาษามนุษย์–

ทฤษฎีวันสิ้นโลก

มนุษย์สนใจศึกษาเรื่องของจักรวาลมานานนับเป็นพันๆ ปีมาแล้ว และเชื่อกันว่า ทฤษฎีความคิดเกี่ยวกับกำเนิดของจักรวาลที่เป็นวิทยาศาสตร์ เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 ซึ่งแท้ที่จริง ทฤษฎีเกี่ยวกับการกำเนิดของจักรวาลมีบันทึกไว้ในความเชื่อทางศาสนาพุทธที่มีมามากกว่าสองพันปี โดยปรากฏรายละเอียดการกล่าวถึงทฤษฎีกำเนิดจักรวาลในคัมภีร์ต่างๆ ของศาสนา เราอาจสามารถแบ่งเนื้อหาของทฤษฎีได้เป็น 2 ภาค คือทฤษฎีภาคกำเนิดจักรวาล และทฤษฎีภาคกำเนิดมนุษย์ แต่ก่อนที่จะกล่าวไปถึงทฤษฎีภาคกำเนิดมนุษย์ ขอย้อนกลับมาที่การอธิบายทฤษฎีวัฏฏะจักรวาล (ทฤษฎีการเกิด-ดับของจักรวาล)

ทฤษฎีวัฏฏะจักรวาล (ทฤษฎีการเกิด-ดับของจักรวาล)
เป็นทฤษฎีที่มีหลักการเบื้องต้นไปกันได้ด้วยดีกับทฤษฎีมหาบรรลัยกัลป์ (big- bang theory) ทฤษฎีนี้เชื่อว่า เอกภพเกิดจากการเปลี่ยนพลังงาน เป็นสสารมีอนุภาคพื้นฐานเกิดขึ้นตามทฤษฎีมหาบรรลัยกัลป์ ปรากฏการณ์มหาบรรลัยกัลป์ จากการคำนวณการขยายตัวของเอกภพ พบว่า เกิดเอกภพในคราวระเบิดครั้งใหญ่ เมื่อ 14,500 ล้านปีมาแล้ว เป็นจุดเริ่มต้นของเวลาและเอกภพ หลังจากเกิดมหาบรรลัยกัลป์ เอกภพมีการขยายตัว ทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างต่อเนื่อง ณ อุณหภูมิที่เหมาะสมจึงเกิดอนุภาคพื้นฐานหลักได้แก่ โปรตอนและนิวตรอน ต่อมาจึงเกิดนิวเคลียสของธาตุฮีเลียม เมื่ออุณหภูมิลดลงไปอีกทำให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ช้าลง จนโปรตอนหรือนิวเคลียสของไฮโดรเจน และนิวเคลียสของฮีเลียมดึงอิเล็กตรอนเข้ามาโคจรรอบนิวเคลียส เกิดเป็นอะตอมของธาตุในสถานะแก๊สไฮโดรเจนและฮีเลียม แก๊สไฮโดรเจนและฮีเลียมจึงเป็นธาตุที่มีมากที่สุดในเอกภพจวบจนปัจจุบัน หลังมหาบรรลัยกัลป์ 300,000 ปี เกิดอะตอมธาตุเบาได้แก่ ไฮโดรเจนและฮีเลียม ซึ่งเป็นสารที่ก่อกำเนิดเป็นกาแล็กซี ภายหลังจากเกิดมหาบรรลัยกัลป์ ประมาณ 1,000 ปี กาแล็กซีเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดเกิดดาวฤกษ์จำนวนมากดังปรากฏในปัจจุบัน
ในปัจจุบันทฤษฎีมหาบรรลัยกัลป์ (big- bang theory) เป็นทฤษฎีที่ได้รับความเชื่อถือและยอมรับมากที่สุด เริ่มแรกเดิมที ในวงการดาราศาสตร์มีความรู้ว่าเอกภพกำลังขยายตัว หลังจากตรวจพบของ เอ็ดวิน พี ฮับเบิล (Edwin powell Hubble) นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกาที่ค้นพบว่า กาแล็กซีจะเคลื่อนที่ไกลออกไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นตามระยะห่าง กาแล็กซีที่อยู่ไกล ยิ่งเคลื่อนที่ห่างออกไปเร็วกว่ากาแล็กซีที่อยู่ใกล้ นั่นคือเอกภพกำลังขยายตัวว่า เส้นสเปกตัมจากธาตุที่อยู่ในดาราจักรปรากฏเลื่อนไปทางสีแดงหรือทางที่มีความถี่ต่ำ เรียกว่า การเลื่อนไปทางสีแดง (red shift) แสดงว่าดาราจักรกำลังเคลื่อนที่ออกจากกันตามการขยายตัวของเอกภพตลอดเวลา ระยะทางระหว่างดาราจักรและกระจุกดาราจักรจะห่างกันไปเรื่อยๆ จากความเข้าใจนี้ทำให้นักดาราศาสตร์สามารถคำนวณหาอายุของเอกภพได้ นั่นแสดงว่า ดาราจักรเคยอาศัยอยู่ใกล้กันมากกว่านี้ในอดีต เลอแมตร์ (G.Lemaitre) เชื่อว่า ในอดีต ณ เวลาหนึ่ง ทุกอย่างในอวกาศอัดตัวแน่นอยู่ด้วยกันและถือว่านั่นเป็นวินาทีแรกสุดของเอกภพ จากความคิดของเขาเชื่อว่า ทรงกลมแรกของเอกภพมีขนาดประมาณดาวอังคารที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6,400 กิโลเมตร เขาเรียกมันว่า ปฐมอะตอม (primeval atom) แล้วเขาก็จินตนาการต่อไปอีก ปฐมอะตอมระเบิดออกทุกทิศทาง เรียกว่า เอกภพระเบิด (exploding universe) กาโมว์ (G.Gamow) เป็นคนหนึ่งที่ร่วมลงเรือเดียวกับเลอแมตร์ เขาคำนวณว่า ในขณะที่ปฐมอะตอมระเบิดนั้น อาจมีอุณหภูมิสูงถึงประมาณ 3x1010 เคลวิน แต่อุณหภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดทั้งเอกภพก็ตกอยู่ในความมืดและเงียบสงัด และคงมืดอยู่อย่างนั้นนานแสนนาน จนกระทั่งมีดาราจักรเกิดขึ้น จนอีกระยะหนึ่งต่อมา จึงมีดาวเกิดขึ้นในดาราจักร หลังจากที่เอกภพตกอยู่ในความมืดเป็นเวลานาน ความสว่างก็เริ่มเข้ามาแทนที่ นับตั้งแต่มีดาวดวงแรกเกิดขึ้นในดาราจักร ต่อจากนั้นก็มีดาวเกิดขึ้นเรื่อยๆ บรรดาดาราจักรต่างๆ จึงสว่างขึ้นและมีผลให้เอกภพเกิดความสว่างขึ้น ซึ่งถ้าคำทำนายของกาโมว์ถูก การระเบิดของลูกไฟดึกดำบรรพ์นี้ก็จะเย็นลงและควรให้รังสีต่อเอกภพ ณ อุณหภูมิประมาณ 3 เคลวิน ดิกกี (R.Dicke) ก็กล่าวว่าถ้าทฤษฎีมหาบรรลัยกัลป์ถูก ก็ควรจะตรวจพบรังสีที่เหลืออยู่ ความคิดดังกล่าวถูกทำให้เป็นจริงขึ้น เมื่อเพนเซียส (A.Penzias) และวิลสัน (R.Wilson) ยอมเล่นลูกตามน้ำ พวกเขาตรวจพบรังสีที่มีอุณหภูมิ 2.73 เคลวิน ในปี พ.ศ.2508 ในเบื้องต้นเรายอบรับแล้วว่า เอกภพในอดีตนั้นมีจุดกำเนิด แต่อนาคตของเอกภพจะเป็นอย่างไร มีความเป็นไปได้ว่า จะมีความคิดแตกออกไป 3 ทิศทาง คือ แนวคิดหนึ่งเชื่อว่า การระเบิดจะมีพลังมหาศาล จนกระทั่งดาราจักรสามารถเคลื่อนที่ออกไปได้ตลอดกาล แนวคิดที่สองเชื่อว่า การระเบิดจะทำให้ดาราจักรเคลื่อนที่ไปไกลจนถึงระยะอนันต์แล้วก็หยุดนิ่ง ส่วนแนวคิดที่สามเชื่อว่า การระเบิดมีพลังไม่มากพอที่จะทำให้ดาราจักรต่างๆ เคลื่อนที่ออกจากกันมากจนถึงระยะอนันต์ และ ณ เวลาหนึ่งในอนาคตเอกภพก็จะหดตัวเองเป็นวัฏจักร เรียกว่า เอกภพแกว่ง (oscillating universe) และดูเหมือนว่าข้อมูลที่มีอยู่จะให้การสนับสนุนแนวคิดนี้ แต่นักจักรวาลวิทยาพากันคาดการณ์สภาวะอนาคตของเอกภพที่เป็นไปได้อยู่ 2 แบบ คือ
1. ถ้าความหนาแน่นมวลของเอกภพมีค่ามากกว่าความหนาแน่นวิกฤต เอกภพจะถึงจุดที่มีขนาดสูงสุดและเริ่มแตกสลาย จากนั้นจะเริ่มหนาแน่นขึ้นและร้อนขึ้นอีก และจบลงด้วยสภาวะที่ใกล้เคียงกับสภาวะเริ่มต้น เรียกว่า “บิกครันช์” (Big Crunch)
2. ถ้าความหนาแน่นของเอกภพเท่ากับหรือต่ำกว่าความหนาแน่นวิกฤต การขยายตัวจะช้าลง แต่ไม่ได้หยุด ไม่มีการก่อตัวของดาวฤกษ์ใหม่อีก เพราะแก๊สระหว่างดวงดาวถูกใช้ไปจนหมดแล้ว ดาวฤกษ์จะเผาผลาญตัวเองจนเหลือแต่ดาวแคระขาว ดาวนิวตรอน และหลุมดำ การปะทะระหว่างวัตถุเหล่านี้จะค่อยๆ ทำให้มวลรวมตัวกันเป็นหลุมดำที่ใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น อุณหภูมิเฉลี่ยของเอกภพจะลดลงเรื่อยๆ จนเข้าใกล้ศูนย์องศาสัมบูรณ์ เป็นสภาวะ “บิกฟรีซ” (Big Freeze) ยิ่งกว่านั้น หากโปรตอนไม่เสถียร สสารแบริออนจะหายไป เหลือแต่รังสีและหลุมดำ ผลต่อเนื่องคือหลุมดำจะระเหยไปด้วยการเปล่งรังสีฮอว์กิง เอนโทรปีของเอกภพจะเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่ไม่มีพลังงานรูปแบบใดสามารถแยกตัวออกมาได้ สภาวการณ์นี้เรียกว่า “ฮีทเดธ” (Heat Death)
จากการสังเกตการณ์การขยายตัวด้วยอัตราเร่งในปัจจุบัน พบว่า เอกภพที่มองเห็นใน ปัจจุบันจะผ่านพ้นขอบฟ้าเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ โดยไม่สามารถติดต่อกับเราได้ ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรไม่อาจรู้ ทฤษฎีนี้ชี้ว่ามีเพียงระบบที่ยึดเหนี่ยวกันไว้ด้วยแรงโน้มถ่วง เช่น ระบบดาราจักรต่างๆ จึงจะสามารถดำรงอยู่ด้วยกันได้ แต่สุดท้ายระบบเหล่านั้นก็มุ่งไปสู่สภาวะฮีทเดธเช่นเดียวกัน และเมื่อเอกภพขยายตัว และเย็นลงจนถึงที่สุด มีการกล่าวถึงทฤษฎีพลังงานซ่อนเร้น (phantom energy theories) ว่า กระจุกดาราจักร ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ อะตอม นิวเคลียส และสสารทั้งมวลสุดท้ายจะถูกฉีกออกจากกันเมื่อการขยายตัวของเอกภพไปถึงที่สุด เรียกว่าสภาวะ “บิกริพ” (Big Rip)
ขณะนี้นักดาราศาสตร์ สรุปว่า เอกภพเรากำลังอยู่ในระหว่าง “ขาขึ้น” คือ ขนาดของเอกภพใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในที่สุดเอกภพจะมี “จุดจบ” ได้ 3 แบบ ใหญ่ ๆ ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นโดยรวมของเอกภพ (the universe’s overall density) คือ
1. เอกภพปิด (Closed Universe) นั่นคือ เอกภพมีความหนาแน่นของมวลสารและพลังงาน มากเพียงพอจนแรงโน้มถ่วงสามารถเอาชนะการขยายตัวได้ ในที่สุดเอกภพจะหดตัวกลับ และถึงจุดจบที่เรียกว่า บิ๊กครันช์ (Big Crunch) (คำว่า crunch หมายถึง บดเคี้ยว)
2. เอกภพแบน (Flat Universe) นั่นคือ เอกภพมีความหนาแน่นของมวลสารและพลังงาน ในระดับที่แรงโน้มถ่วง ได้ดุลกับการขยายตัว ในที่สุดเอกภพจะขยายตัว แต่ด้วยอัตราที่ช้าลงเรื่อย ๆ
3. เอกภพเปิด (Open Universe) นั่นคือ เอกภพมีความหนาแน่นของมวลสารและพลังงาน ต่ำเกินไป ทำให้แรงโน้มถ่วง ไม่สามารถเอาชนะการขยายตัวได้ เอกภพจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ
ทฤษฎีวัฏฏะจักรวาล (ทฤษฎีการเกิด-ดับของจักรวาล) ไม่ได้แยกคำว่าจักรวาลและเอกภพออกจากกัน ดูเหมือนจะไม่ยืนยันว่าจะมีเอกภพเดียว และยังมีการกล่าวถึงจำนวนจักรวาลที่มีอยู่มากมายว่า มีจักรวาลอยู่ถึงแสนโกฏิจักรวาล ( 1 โกฎิ เท่ากับ 10 ล้าน) จากการคำนวณจำนวนเอกภพในปัจจุบัน พบว่า ประกอบด้วยกาแล็กซีประมาณแสนล้านกาแล็กซีมีอาณาเขตกว้างใหญ่มาก และในแต่ละกาแล็กซีจะมีดาวฤกษ์และดาวเคราะห์จำนวนมากมายมหาศาล และมีเมฆแก๊สกับฝุ่นขนาดใหญ่ กระจุกดาวรวมกันอยู่

ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงการแตกสลายและเกิดขึ้นของจักรวาลและเอกภพ ในรูปแบบเป็นวัฏจักรในระยะเวลา 1 มหากัปป์ มีลักษณะการหมุนเวียน ตั้งแต่การเกิดมหากัปป์ ตั้งอยู่ แล้วก็ดับสลายไปเป็นยุคๆ ไป แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลสนับสนุนว่า จะมีการระเบิดมหาบรรลัยกัลป์ของเอกภพหรือไม่ แต่ดูเหมือนจะเอนเอียงแนวคิดไปทางความเชื่อที่ว่า เอกภพเป็นสภาวะที่มีอยู่เช่นนี้มาช้านาน แต่มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ เป็นวัฏจักร ภายในเอกภพนี้ โดยมีปรากฏการณ์จากการถูกทำลายล้างของธาตุไฟ น้ำ และลม เราจะเรียกว่าถูกทำลายล้างใหญ่ด้วยมหาบรรลัยกัลป์ก็พอเทียบเคียงได้บ้าง เพียงแต่ทฤษฎีนี้มีมุมมองว่า มหาบรรลัยกัลป์เป็นการทำลายล้าง แต่ทฤษฎีมหาบรรลัยกัลป์ (big- bang theory) กลับมีมุมมองว่า นี่เป็นการสร้างสรรค์
ในความเป็นจริง ถ้าหากมหาบรรลัยกัลป์ (big- bang theory) จะเป็นความจริง จะมีคำถามว่า การระเบิดจะทำงานอย่างไรในสภาพที่ไม่มีอะไรที่อยู่ภายนอกการระเบิด นั่นแสดงว่า ระเบิดจะต้องทำงานในสภาพที่มีอะไร หมายความว่า มีพื้นที่ให้ระเบิดทำงาน และพร้อมที่จะให้แรงระเบิดขยายพื้นที่แรงระเบิดออกไป ดังนั้น ความคิดที่ว่า ระเบิดทำงานโดยไม่มีพื้นที่อยู่ก่อน จึงเป็นไปไม่ได้แน่นอน (ภายใต้สามัญสำนึกทั่วไป) ถ้ามีการขยายตัวของเอกภพ นั่นแสดงว่า ต้องมีพื้นที่ว่างรองรับการขยายตัวของเอกภพ ซึ่งหมายความว่า มีพื้นที่ว่างในเอกภพ แต่มีอยู่ในระดับใด ไม่สามารถคาดคะเนได้ (ในปัจจุบันนี้) แต่ถ้าหากการขยายตัวของเอกภพเป็นความจริง เอกภพก็กำลังขยายตัวไปในพื้นที่ๆ มีอยู่แล้ว และเป็นไปไม่ได้ที่เอกภพจะขยายตัวเองโดยไม่มีพื้นที่ว่างให้ขยายตัว เหมือนแรงระเบิด ซึ่งเราจะรู้ว่าระเบิดแรงแค่ไหนก็ต่อเมื่อเห็นสะเก็ดระเบิดที่กระเด็นกระจายออกไปในพื้นที่หนึ่ง นั่นแสดงว่าเอกภพมีขอบเขตระดับหนึ่ง
ทฤษฎีวัฏฏะจักรวาล ไม่ได้กล่าวถึงการระเบิดใหญ่ (big bang) จนเกิดการขยายตัวของเอกภพ มีแต่ยืนยันถึงการทำลายล้างใหญ่ด้วยไฟบรรลัยกัลป์ และได้กล่าวถึงจุดสิ้นสุดของการดำรงอยู่ และไม่ได้ยืนยันว่าจักรวาลและเอกภพน่าจะมีพื้นที่จริงเท่าใด แต่ยืนยันด้วยระยะปีของการสิ้นสุดว่าจะใช้เวลาเท่าใด (ซึ่งอาจหมายถึง ปีของโลกมนุษย์ปัจจุบันที่หมุนรอบดวงอาทิตย์หรือปีของจักรวาล) และหลังการทำลายล้างใหญ่ด้วยไฟบรรลัยกัลป์ เอกภพก็เข้าสู่ความว่างเปล่าและมืดมิดเป็นเวลาแสนนาน จนกระทั่งเข้าสู่ยุคการกำเนิดเอกภพและจักรวาล มีการเกิดขึ้นของดาราจักรและดวงดาวที่ส่องแสงสว่างขึ้น