พุทธเทค

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทฤษฎีกำเนิดจักรวาล

ทฤษฎีกำเนิดจักรวาลภาคอัคคัญญสูตร

ระยะเวลา 1 มหากัปป์ มีผู้รู้กล่าวไว้อย่างพิสดารมากมาย จะไม่ขอกล่าวถึงไว้ในที่นี้ แต่มีการสรุปไว้ว่า ใน 1 มหากัป มีการทำลายล้างใหญ่เพียง 1 ครั้ง นับตั้งแต่จักรวาลหรือเอกภพถูกทำลาย จนกระทั่งเกิดใหม่ และพินาศอีกครั้ง เป็นเวลา 4 อสงไขยกัป หรือ 256 อันตรกัป นับเป็น 1 มหากัป
ใน 1 อสงไขยปี เท่ากับเลข 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 140 ตัว ดังนั้น ใน 1 มหากัปป์ จึงมีค่าเท่ากับ 256 ตามด้วยเลขศูนย์ 140 ตัว

1 รอบอสงไขยปี เป็น 1 อันตรกัป
64 อันตรกัป เป็น 1 อสงไขยกัป
4 อสงไขยกัป เป็น 1 มหากัป

มหากัปป์ ประกอบด้วย 4 มหายุคของจักรวาล
1. มหายุคสังวัฏฏ์ คือ ยุคที่จักรวาลและเอกภพกำลังถูกทำลายล้างครั้งใหญ่ เป็นเวลา 64 อันตรกัป
2. มหายุคสังวัฏฏฐายี คือ ยุคที่จักรวาลและเอกภพมีแต่ความว่างเปล่า หลังจากจักรวาลถูกทำลายล้างครั้งใหญ่ เป็นเวลา 64 อันตรกัป
3. มหายุควิวัฏฏ์ คือ ยุคที่กำลังมีการก่อตัวขึ้นของเอกภพและจักรวาล เป็นเวลา 64 อันตรกัป
4. มหายุควิวัฏฏฐายี คือ ยุคที่จักรวาลและเอกภพได้ตั้งขึ้นใหม่เรียบร้อยเป็นปกติตามเดิม ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นเวลา 64 อันตรกัป
ดังนั้นในช่วงที่มีมนุษย์และสัตว์เจริญอยู่ในปัจจุบัน ก็คือ มหายุควิวัฏฏฐายี มีระยะเวลา 64 อันตรกัปนี้เอง

ปรากฏการณ์ทำลายล้างโลกนั้น มีอยู่ 3 สาเหตุ คือ ไฟ น้ำ และลม ซึ่งมีลำดับของการทำลายล้างรุนแรงต่างกันไปตามลำดับ
1. ไฟ (ความร้อน) จะเกิดปรากฏการณ์มหาเมฆกัปป์วินาศ คือ ฝนตกใหญ่ทั่วโลกก่อน ครั้นฝนหยุดแล้วจะไม่มีฝนอีก โลกจะแห้งแล้งไปโดยลำดับ แล้วเกิดดวงอาทิตย์ดวงที่ 2 จนถึงดวงที่ 7 ทำให้โลกร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนก่อตัวเป็นไฟประลัยกัลป์ เผาไหม้โลกจนกลายเป็นจุลมหาจุล
2. น้ำ (ความเย็น) จะเกิดปรากฏการณ์มหาเมฆกัปป์วินาศ แล้วเกิดฝนด่างตกลงมาท่วมโลกไปทั่ว กลายเป็นน้ำประลัยกัลป์ ย่อยโลกให้สลายไปเป็นจุลมหาจุล
3. ลม (อากาศ,พายุ) จะเกิดปรากฏการณ์มหาเมฆกัปป์วินาศ แล้วจะเกิดลมวินาศเป็นลมประลัยกัลป์ พัดทำลายโลกให้แหลกเป็นจุลมหาจุล
ระยะเวลาตั้งแต่เกิดมหาเมฆกัปป์วินาศ จนถึงไฟบรรลัยกัลป์ไหม้โลกจนหมดสิ้นสลายไป ใช้เวลายาวนาน 64 อันตรกัปป์ เรียกว่า มหายุคสังวัฏฏกัปป์
เมื่อโลกวินาศเป็นจุลเหลือแต่ความว่างเปล่า ก็จะว่างเปล่าปราศจากโลกนี้ต่อไปอีกยาวนาน64 อันตรกัปป์ เรียกว่า มหายุคสังวัฏฏฐายีกัปป์
หลังจากผ่านพ้นความว่างเปล่าที่ยาวนาน ดวงอาทิตย์จะเริ่มลดลงจนเหลือดวงเดียวอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏการณ์ มหาเมฆกัปป์สมบัติ คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติจะเริ่มตั้งขึ้นใหม่ จะเกิดฝนตกทั่วจักรวาล ลมจะประคองน้ำฝนรวมเป็นก้อนกลม แล้วก็แห้งไป ปรากฏเป็นโลกขึ้นใหม่ ใช้เวลายาวนาน 64 อันตรกัปป์ เรียกว่า มหายุควิวัฏฏกัปป์
เมื่อโลกเกิดวิวัฒนาการของเปลือกโลกเป็นแผ่นดิน ภูเขา และมหาสมุทร และเกิดชั้นบรรยากาศห่อหุ้มโลก เกิดมีพืชพันธุ์ สัตว์ และมนุษย์ ใช้เวลายาวนาน 64 อันตรกัปป์ เรียกว่า มหายุควิวัฏฏฐายี
ในมหากัปป์หนึ่งๆ จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้น 1-5 พระองค์ มหากัปป์ที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นเลย เรียกว่า สุญกัปป์ ส่วนมหากัปป์ในยุคปัจจุบัน มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้ว 5 พระองค์ เรียกว่า ภัทรกัปป์ โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงอุบัติขึ้นแล้ว คือ พระกกุสันธะพุทธเจ้า พระโกนาคมน์พุทธเจ้า พระกัสสปะพุทธเจ้า พระสมณโคดมพุทธเจ้า และพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า ซึ่งจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์สุดท้ายในมหากัปป์นี้ และเมื่อสิ้นมหากัปป์นี้แล้ว คัมภีร์อนาคตวงศ์กล่าวว่า อสุญญกัปป์ ต่อไปจะเป็น มัณฑกัปป์ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์เกิดขึ้น คือ พระรามโพธิสัตว์ และพระเจ้าปเสนทิโกศล (พระธรรมราช)
สังวัฏฏกัปป์ เมื่อโลกถูกทำลายเพราะไฟบรรลัยกัลป์ พรหมภูมิ 4 ชั้นแรก จะถูกทำลายลง (ถ้าถูกทำลายด้วยน้ำ พรหมภูมิ 6 ชั้นแรก จะถูกทำลาย และถ้าถูกทำลายด้วยลม พรหมภูมิทั้ง 9 ชั้นแรก จะถูกทำลาย) จึงเป็นไปได้ว่าในช่วงสังวัฏฏกัปป์ที่ผ่านมา โลกถูกทำลายเพราะไฟ สัตว์โลกที่รอดชีวิตพากันบำเพ็ญธรรมแล้วขึ้นไปเกิดอยู่ในชั้นอาภัสสรพรหม
ลักษณะทางกายภาพของอาภัสสรพรหม มีรูปพรรณสัญฐานเป็นบุรุษเพศ (หมายถึง มีกายตรง ไม่มีถันแบบสตรีเพศ และคาดว่าจะไม่มีอวัยวะเพศด้วย เพราะพวกพรหมไม่มีความกำหนัดในกามคุณที่เป็นเมถุนธรรม) มีรัศมีแผ่ซ่านออกจากร่างกายเหมือนกับลูกไฟมีหัวตกลง คล้ายกับเปลวไฟขาดตกไปจากคบเพลิง มีสภาพเป็นกายทิพย์ มีฤทธิ์ทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีแผ่ซ่านออกจากกาย สัญจรอยู่ในอากาศ สถิตอยู่ในวิมานที่งดงาม (เป็นไปได้ว่า อาภัสสรพรหม น่าจะมีลักษณะคล้ายกับดาวหาง แต่ไม่ใช่ดาวหาง อาจเป็นกลุ่มก้อนก๊าซบางอย่างที่เรืองแสง หนีออกไปวนเวียนอยู่นอกเขตขอบฟ้าจักรวาล หลังการทำลายล้างของไฟบรรลัยกัลป์)
พรหมชั้นนี้จัดอยู่ในรูปพรหม ชั้นที่ 6 มีชื่อว่า อาภัสราภูมิ ภูมิธรรมในการเข้าอยู่ คือ เป็นผู้ที่สามารถบำเพ็ญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุทุติยฌาน ขั้นประณีตสูงสุด มีอายุประมาณ 8 มหากัปป์ อยู่พื้นที่เดียวกับชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ และชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ แต่อยู่คนละเขตและมีความประณีตกว่า หลังการทำลายล้างของไฟบรรลัยกัลป์ รูปพรหมตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไป พ้นจากการทำลายล้าง พวกสัตว์มนุษย์ที่มีจิตพากันบำเพ็ญธรรมหนีขึ้นไปอยู่
วิวัฏฏกัปป์ คือ ช่วงที่จักรวาลกำลังก่อตัวตัวขึ้นใหม่ พวกสัตว์ส่วนมากที่หนีไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม (ไม่ได้บอกว่าพรหมชั้นที่ 5 คือ อัปปมาณาพรหม จะพากันมาด้วยหรือเปล่า) และเมื่อโลกอุบัติขึ้นมาใหม่ (อาจหมายถึงมีความเย็นลง) ก็จุติลงมาสู่โลกนี้ เกิดขึ้นเองจากใจ กินปีติเป็นอาหาร มีแสงสว่างในตัว ไปได้ในอากาศ มีสภาพเหมือนเช่นในชั้นอาภัสสรพรหม ในขณะที่โลกวิวัฒนาการขึ้นมาใหม่ๆ นั้น จักรวาลทั้งจักรวาล มีแต่น้ำแผ่เต็มห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง ว่างเปล่า ไม่มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดาราจักร และดวงดาวใดๆ ทั่วบริเวณมืดมิด ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีกาลเวลา และไม่มีมนุษย์ จนกระทั่ง จักรวาลเริ่มเกิดมีง้วนดินลอยอยู่บนน้ำ ง้วนดินนั้นมีลักษณะเหมือนนมสดที่เคี่ยวให้งวด มีกลิ่น รส สี คล้ายเนยใสมีรสดุจน้ำผึ้ง
ในปาฎิกสูตร มีการยืนยันเหตุการณ์เดียวกันนี้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อโลกเกิดใหม่ภายหลังพินาศ โลกมนุษย์ก็กลับเกิดเจริญขึ้นอีก เมื่อโลกกำลังเจริญอยู่ สัตว์เหล่านั้นก็ทยอยจุติมาสู่โลก แต่ยังมีลักษณะทางกายภาพเช่นเดิมเหมือนอยู่ในชั้นอาภัสสรพรหม คือ กินปีติเป็นอาหาร ยังมีอำนาจฌานอยู่ มีแสงสว่างในตัวเอง เดินทางไปในอากาศ แต่ระยะเริ่มแรก มีการมาจุติเพียงผู้เดียว ต่อมาคนอื่นก็ทยอยจุติจากชั้นอาภัสสรพรหมลงมา เพราะสิ้นอายุหรือเพราะสิ้นบุญ ก็พากันมาลงมาอยู่ในวิมานพรหม ผู้ที่จุติลงมาก่อนก็สำคัญว่า ตนเองเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นผู้ทรงอำนาจ และเข้าใจตนเป็นผู้เนรมิตผู้ที่มาเกิดทีหลัง แม้พวกที่เกิดภายหลังก็มีความเคารพผู้เกิดก่อน ยกให้เป็นพรหม เพราะเข้าใจว่าผู้ที่เกิดก่อนเนรมิตตนมา
ผู้ที่เกิดก่อนนั้นมีผู้มีอายุยืน มีศักดิ์มากกว่า ส่วนผู้ที่เกิดภายหลังมีอายุน้อยกว่า เมื่อหมดอายุลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ทำสมาธิจนได้บรรลุเจโตสมาธิ ก็ระลึกชาติถึงชาติที่เป็นพรหมอยู่ แต่ชาติต่อจากนั้นไม่สามารถระลึกได้ เขาจึงเข้าใจว่า ผู้เกิดก่อนเป็นพรหม เป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนตนเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอายุน้อย และเชื่อว่าจะต้องบำเพ็ญธรรมเพื่อกลับไปหาพรหมผู้เป็นใหญ่อีกครั้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น